หมายเหตุ: LM Article


LM watch พยายามคงการเน้นคำในเนื้อหาให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เนื่องจากเงื่อนไขทางเทคนิคบางประการ ทำให้การแสดงผลบนเวบไซต์นี้ยังไม่สามารถใช้การเน้นแบบ "ขีดเส้นใต้" ได้ จึงจำเป็นต้องใช้การเน้นด้วย "ตัวหนา" แทนในบางกรณี ซึ่งต้องขออภัยต่อเจ้าของบทความ/รายงาน ตลอดจนผู้อ่านเป็นอย่างสูง

LM watch



วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ชำแหละขบวนการล้มเจ้าเปลี่ยนการปกครอง- “แม้ว” ถอดเกราะคุ้มกันเบื้องสูง

ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์ (29 มกราคม 2552)

ชำแหละขบวนการล้มเจ้าเปลี่ยนการปกครอง- “แม้ว” ถอดเกราะคุ้มกันเบื้องสูง

“คำนูณ-ไพศาล” ร่วมชำแหละขบวนการล้มล้างสถาบันฯ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่นับวันเหิมเกริมหนัก ขณะที่ฝ่ายพิทักษ์สถาบันทำงานลำบาก ติดมายาคติ ห้ามพูดมีคนหมิ่นเบื้องสูง อ้างระคายเคืองฯ ปล่อยคนทำผิดลอยนวล แฉยุค “นายกฯแม้ว” สั่งเลิก กก.พิเศษติดตามการละเมิดเบื้องสูง แถมลิ่วล้อยังเสนอแก้ ม.112 ถอดเกราะปกป้องพระมหากษัตริย์ ระบุเท่ากับล้มรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนระบอบปกครองใหม่ เตือน “ทักษิณ” ระวังตกเป็นเครื่องมือ “จักรภพ”

ในช่วงสนทนา รายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ทางเอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน วันที่ 28 ม.ค.ที่ผานมา นางสาวเมธาวดี เบญจราชจารุนันท์ ผู้ดำเนินรายการ ได้สัมภาษณ์พิเศษนายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒสภา และนายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในประเด็นปัญหาการโจมตีสถาบันเบื้องสูง

**ฝ่ายซ้ายรวมหัวนายทุนจ้องล้มสถาบัน
นายคำนูณ ได้สรุปภาพรวมของปัญหาว่า การโจมตีสถาบันมีให้เห็นอย่างเด่นชัดเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา และช่วง 2 รัฐบาลที่แล้วมีมากขึ้น ซึ่งมาจากกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นไม่เอาระบอประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ทั้งพวกซ้ายใหม่และซ้ายเก่า ซึ่งซ้ายเก่าคือพวกที่ยังฝังใจกับเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 และยึดมั่นแนวคิดวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ เชื่อว่าสังคมจะต้องวิวัฒนาการจากสังคมทาส-สังคมศักดินา-สังคมทุนนิยม-สังคม คอมมิวนิสต์ตามลำดับขั้น คนพวกนี้เข้ามาทำงานทางการเมืองกับนายทุนใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งพอเข้ามาร่วมงานกันก็มีแนวคิดที่จะรื้อฟื้นขบวนการในอดีตขึ้นมา มีการไปเอาคนที่เคยอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) มาร่วมงานด้วย พวกซ้ายก็คิดว่าจะใช้นายทุนเป็นเครื่องมือขณะที่นายทุนก็คิดจะใช้ฝ่ายซ้ายใน การควบคุมมวลชนเช่นกัน

อีกกลุ่มหนึ่งคือซ้ายใหม่ที่เสนอเอกสารทางวิชาการต่อสังคมและยึดถือ แนวคิดวัตถุนิยมประวัติศาสตร์เช่นกัน มีการผนวกการต่อสู้เข้าด้วยกันคือ การต่อต้านรัฐบาลปัจจุบัน ต่อต้านทหาร และต่อต้านประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ที่ว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

นายคำนูณ กล่าวต่อว่า ในกลุ่มคนพวกนี้ก็มีผู้ที่คิดเห็นโดยบริสุทธิ์ใจจำนวนหนึ่ง แต่ที่เราต้องพูดกันคือในความเห็นอันบริสุทธิ์นั้นมันสอดคล้องกับประเทศไทย หรือไม่ เพราะแต่ละประเทศมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ไม่มีประเทศไหนที่จะบอกว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแล้วจะต้องมีมาตรฐาน เดียวกัน เพราะความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน และที่สำคัญกษัตริย์ของเราไม่เหมือนกษัตริย์ในยุโรปที่พัฒนามาจากเจ้าที่ดิน ศักดินา แต่ของเราเป็นสมมุติเทพ ทรงเป็นผู้สร้างบ้านสร้างเมือง โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 เราจึงยกฐานะพระมหากษัตริย์ให้ละเมิดมิได้ เปรียบได้กับประเทศอิสลามที่มีกฎหมายต่างจากตะวันตก และมีการเอาหลักศาสนามาปะปนกับกฎหมาย เพราะฉะนั้น ถ้าจะบอกว่าไม่เอา ม.112 ตนจึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

**แฉขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ด้าน นายไพศาล กล่าวว่า ความคิดที่จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์มีมานาน แต่ที่แล้วมาอยู่ในวงแคบ ไม่มีฤทธิ์เดช ที่มีมาคึกคักก็ตอนตั้ง พคท.มีการต่อสู้ด้วยอาวุธ แต่สิ่งที่ พคท.ต่อสู้มันไม่สอดคล้องความเป็นจริงของประเทศไทย พคท.จึงสลายตัวไปและมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยตั้งแต่ปี 2526 แต่ความคิดนี้ยังตกทอดอยู่กับพวกซ้าย แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกได้ เพราะไม่มีที่ไป ไม่มีที่จะสื่อไปยังบุคคลภายนอก

แต่พอมาผนึกกับทุนการเมืองซึ่งต่างฝ่ายต่างพึ่งพาใช้สอยกันและกัน เหมือนซอฟต์แวร์มารวมกับฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมกันเข้า มันจึงขยายตัวไปใหญ่ ตอนรัฐบาลหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.ก็เพิกเฉยที่จะจัดการเรื่องนี้ จนได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่ฟักตัวให้เกิดคนเสื้อแดง มาวันนี้มันลามไปถึงตำรวจแล้ว และถ้ารัฐบาลนี้ยังเพิกเฉยอีก วันหนึ่งก็จะได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่ฟักตำรวจให้เป็นคนเสื้อแดง ซึ่งจะเป็นอันตราย แต่เชื่อว่ารัฐบาลนี้คงไม่นิ่งดูดาย และเตรียมหาทางแก้ไขอยู่

“ผมได้เจอกับนายทหารผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่า มันเป็นกระบวนการที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศแน่นอน เหมือนที่เราเคยกล่าวถึงปฏิญญาฟินแลนด์ คือ จะเปลี่ยนไปสู่ระบอบที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ และพวกเขามีองค์กรบัญชาการ ที่มีการจัดกระบวนการเป็นหลายกระบวน” นายไพศาล กล่าว

**องค์กรบัญชาการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
นายคำนูณ กล่าวว่า กระบวนการนี้ไม่ใช่การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามปกติ แต่เป็นสงครามการต่อสู้ 2 แนวทาง แนวทางหนึ่ง ต่อสู้เพื่อรักษาระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขแบบที่เรารู้จัก ที่มีมาตั้งแต่ปี 2475 อีกแนวคิดหนึ่งเขาต้อสู่เพื่อให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของปวงมหา ประชาชน ซึ่งเป็นแนวคิดของดอกเตอร์คนหนึ่งที่ในช่วง 2 รัฐบาลที่แล้วได้ดิบได้ดีเป็นบอร์ดธนาคารกรุงไทย ดอกเตอร์คนนี้บอกว่า ประชาชนเป็นทั้งเจ้าของอำนาจอธิปไตยและใช้อำนาจนั้นด้วยตัวเอง เป็นการประกาศหักล้างความในมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ ที่ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของหรือบางฉบับก็ว่ามาจากปวงชน พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้นทางคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และทางศาล

นายไพศาล กล่าวย้ำว่า เรื่องนี้มองแค่เป็นการดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างเดียวไม่ได้ แต่เป็นกระบวนการหนึ่งของการเปลี่ยนสู่การปกครองใหม่ที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ องค์กรที่เป็นลักษณะบัญชาการ ภายใต้องค์กรนี้มีแนวรบอะไรบ้าง ที่เขาวางกันไว้ อันแรก คือหน่วยงานทฤษฎีที่กำหนดชุดความคิด รูปแบบเอกสาร การเคลื่อนไหว หรือฝ่ายซ้ายเรียกว่า สำนักทฤษฎี จะโจมตี เปิดโปง ทำลายตรงไหน พวกนี้มีเป็นชุดความคิด โดยมีศูนย์กลางที่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ พวกที่ 2 คือ นักวิชาการ ทำหน้าที่อบอมขยายความคิดไปยังลูกศิษย์ลูกหา พวกที่ 3 คือ สื่อที่แฝงอยู่ในทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ คอยขยายผลบ่อนทำลายระบอบปัจจุบันเพื่อนำไปสู่ระบอบใหม่

**ขยายเครือข่าย-มวลชน-เจ้าหน้าที่
ถัดมาเป็นงานมวลชนที่จะขยายผลไปสู่บุคคล เช่น การแจกใบปลิวทางภาคเหนือ ในกรุงเทพฯ ก็มีการแจกตามลานจอดรถห้างสรรพสินค้าบางแห่งแล้ว ถัดมาเป็นสื่อมวลชนต่างประเทศ ถัดมาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่คุ้มครองไม่ให้คนพวกนี้ถูกดำเนินคดี หรือให้ดูเบาบางลงไป ขณะที่อีกพวกก็ดำเนินการในสภา รับชุดความคิดนี้มาเพื่อแก้ไขบทกฎหมาย ไม่ให้ปกป้องสถาบันกษัตริย์

“วันนี้ก็มีคนเสนอร่างกฎหมายแล้วว่า ใครรู้ว่ามีการหมิ่นแล้วเอามาพูดต่อ ให้มีความผิดอย่างเดียวกัน เช่น ใครรู้ว่าคนนี้กำลังบ่อนทำลายสถาบันกษัตริย์ นำความไปบอกให้คนอื่นรู้ คนนั้นมีความผิดด้วย ก็คือต้องการทำให้สถาบันนี้โดดเดี่ยวมากขึ้นทุกที เมื่อเขาจัดกระบวนการอย่างนี้ เราจะมาติดตามแต่คดีหมิ่นฯ อย่างเดียวคงไม่ทันการ มันเป็นแค่จุดหนึ่งของกระบวนการใหญ่เท่านั้น เพราะฉะนั้นเราต้องมีกระบวนการขึ้นมาสู้กับศูนย์บัญชาการใหญ่ และจัดแนวรบขึ้นสู่กับแนวรบต่างๆ ทั้งในภาควิชาการ ทุกอย่างต้องมีหมดจึงจะไปกันได้” นายไพศาล กล่าว

**แฉ “แม้ว” ถอดเกราะคุ้มกันสถาบัน
นายคำนูณ กล่าวว่า กฎหมายที่เกี่ยวกับการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์หากรวมรัฐธรรมนูญด้วยมี อยู่ 8 ฉบับ โดยมียอดอยู่ที่มาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญ แตกออกไปเป็นประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กฎหมายที่เกี่ยวกับหน้าที่ของกองทัพ กระทรวงกลาโหม พ.ร.บ.ราชองครักษ์ พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยพระมหากษัตริย์ฯ พ.ร.บ.ความมั่นคง เป็น แต่ปัญหาที่เราต้องตรวจสอบคือการบังคับใช้ตามกฎหมายที่มีอยู่เป็นไปตาม ครรลองหรือไม่ มีอะไรที่ติดขัด สมควรแก้ไขหรือไม่

ขณะนี้ ในชั้นสภาผู้แทนฯ มีการเสนอร่างแก้ไขกฎหมายทั้งสิ้น 4 ฉบับ ร่างแรกเสนอเข้ามา 30 พ.ค.2551 เป็นร่างของพรรคพลังประชาชนเดิม เสนอกันหลายคน แต่คนที่ลงชื่อคนแรกคือ นายจุมพฏ บุญใหญ่ เสนอแก้ ม.112 เป็น “ผู้ใดรู้ว่ามีการกระทำความผิด ตามมาตรา 112 ไม่นำความเข้าแจ้งพนักงานสอบสวนแต่กลับนำไปกล่าว หรือไขข่าวต่อหน้าธารกำนัล หรือประชาชนว่ามีการกระทำผิดเช่นนั้นเกิดขึ้นเพื่อหวังผลทางการเมือง โดยประการที่จะให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชัง ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 112” ก็หมายความว่า รายการที่เราจัดอยู่นี้ มีสิทธิที่จะมีความผิดตามมาตรา 112 เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาต่อไปว่า คนเสนอมีเจตนาอะไร ถ้ามาตรานี้ออกมา ต่อไปก็คงไม่มีใครกล้าพูดว่ามีการหมิ่นเบื้องสูง

นายไพศาล กล่าวว่า ขบวนการนี้เรียกว่าเป็นขบวนการถอดเกราะคุ้มกันสถาบัน ความจริง ก่อนหน้านี้มีคณะกรรมการระดับชาติที่ทำหน้าที่ติดตามกำกับดูแลตรวจสอบการ กระทำที่ละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เริ่มมาตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประด้วยฝ่ายความมั่นคงทั้งหมดของประเทศ ซึ่งคณะกรรมการนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้สถาบันเกิดความมั่นคง แต่ต่อมาคณะกรรมการระดับชาตินี้ ถูกยกเลิกสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยไม่บอกให้ประชาชนรู้

หน่วยงานนี้ตั้งขึ้นมาในเชิงลับ ชื่อหน่วยเป็นรหัสตัวเลข หลังยกเลิกก็เกิดช่องว่าง ไม่มีใครติดตามการทำลายสถาบัน แม้ว่ารัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ฟื้นกรรมการชุดนี้ขึ้นมาใหม่ โดยมีผู้บัญชาการทหารบกเป็นประธาน แต่การทำงานยังไม่สมบูรณ์ และการดำเนินงานไม่เหมือนในอดีตที่เป็นคำสั่งจากบนลงล่าง มีการกำหนดทิศทางที่ชัดเจน แต่กรรมการชุดใหม่เป็นการเสนอจากล่างขึ้นบน ซึ่งทำให้ความลับรั่วไหล และข้างบนไม่ยอมทำอะไร ขณะที่ข้างล่างก็ข้างบนสั่ง จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ทำอะไร

“จนวันนี้มีทหารที่ทนไม่ได้ไปแจ้งความที่มีคนแจกใบปลิวบนศาลากลาง เชียงราย แต่ตำรวจที่รับแจ้งบอกว่ารอเจ้านายสั่งก่อน ที่เชียงราย แสดงว่ายอมทำผิดกฎหมายเพื่อรอคำสั่งจากเจ้านาย หรือไม่ก็ถูกเจ้านายสั่งลงมาว่าไม่ให้ทำคดีนี้ เพราะฉะนั้นคณะกรรมกาที่ ผบ.ทบ.เป็นประธานน่าจะทำเรื่องนี้ และขณะเดียวกันก็จะเป็นการพิสูจน์ที่นายกรัฐมนตรีพูดตั้งแต่วันแรกที่เข้า รับตำแหน่งว่าจะปกป้องสถาบันกษัตริย์เป็นอันดับแรกนั้น ทำจริงหรือไม่”

**กมธ.พิเศษศึกษาปัญหาบังคับใช้กฎหมาย
นายคำนูณ กล่าวถึงการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและ มาตรการอื่นในการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ของวุฒิสภา ที่เขาเป็นผู้เสนอนั้น จะทำหน้าที่ในการศึกษาถึงสาเหตุปัญหาการดูหมิ่นสถาบันที่มีอย่างกว้างขวาง และศึกษากฎหมายที่มีอยู่ และกฎหมายที่จ่อคิวเข้าสภา ซึ่งมีอีกฉบับของพรรคประชาธิปัตย์ เสนอเมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงศึกษามาตรการอื่นด้วย เพราะการบังคับใช้กฎหมายอย่างเดียวอาจให้ผลไม่เต็มที่ โดยมีระยะเวลาศึกษา 180 วัน และอาจขอต่อได้ โดยมุ่งหวังจะให้การศึกษามีผลในทางสร้างสรรค์ มองทุกอย่างบนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่มีอคติต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แม้ว่าอาจถูกกล่าวหาว่าตั้งมาเพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้ามพันธมิตรฯ ซึ่งไม่ใช่ เราว่าไปตามข้อเท็จจริง และพันธมิตรฯ เองก็ถูกกล่าวหาด้วย ดังนั้น ก็ขอให้ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย

**เก็บข้อมูลอดีต รมต.ปากดี
นายคำนูณ กล่าวต่อว่า ในการศึกษาส่วนหนึ่งจะเก็บข้อมูลคำพูดของบุคคลที่เกิดขึ้นจริง เช่น อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ คนหนึ่ง ที่พูดหลายครั้งว่า ทักษิณมีโอกาสเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง และครั้งต่อๆ มายังเทียบ พ.ต.ท.ทักษิณ กับนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งความจริงไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ แต่ก็นำไปพูดเพื่อให้เกิดนัยประหวัดถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 รวมทั้งยังเคยพูดในการบรรยายกับผู้สื่อข่าวต่างประเทศว่า ตอนเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะราษฎรทำผิดพลาดบางอย่าง ล่าสุดยังบอกว่า ไม่ว่าทักษิณจะเป็นอย่างไร ก็จะทำให้คนเสื้อแดงเป็นสถาบัน เพื่อรองรับจุดเริ่มต้นของสงครามประชาชนในอนาคต ที่เขาอยากเห็น โดยกำหนดระยะเวลาไว้ 5 ปี และไม่จำกัดแต่ในประเทศ มีการต่อต้านรัฐบาลประชาธิปัตย์ โดยอ้างว่าต่อต้านทหารไปพร้อมๆ กับการต่อต้าน ม.112 ในวันที่อาจารย์จุฬาฯ คนหนึ่งไปมอบตัว มีการต่อต้าน ม.112 คนพวกนี้ก็ไปร่วมด้วย

**เสื้อแดงเหิมหนักหลังวันพระราชทานเพลิงศพน้องโบว์
นายคำนูณ กล่าวต่อว่า การยกเลิกคณะกรรมการที่มีชื่อเป็นตัวเลข ในสมัยรัฐบาลทักษิณนั้น ไม่ว่ายกเลิกด้วยเหตุผลอะไร จะเหมาะสมหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องศึกษา แต่มันพอเหมาะกับเหตุการณ์ที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เกิดตั้งแต่ 2545 ผ่านเว็บไซต์ นิตยสาร ซึ่งเราเคารพการแสดงออกทางวิชาการ แต่กรอบความพอดีจะต้องมี หลังจากนั้นสถานการณ์ก็มีความรุนแรงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ หลัง 19 ก.ย.จากที่เคยเคลื่อนไหวผ่านหนังสือก็แปรมาเป็นการเคลื่อนไหวในโลกจริง เช่น การล้อมบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และการโจมตีที่หนักหนาสาหัส ผ่านข้อเขียนอีกมากมาย

และการละเมิดอย่างรุนแรงที่สุดต้องนับเอาตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2551 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นวันพระราชทานเพลิงศพน้องโบ เพราะพวกเขาเรียกวันนี้ว่า “วันตาสว่างแห่งชาติ” นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น และทุกคนรู้ว่ามีอยู่จริง แต่หลายคนติงว่าไม่ควรพูด เงียบเอาไว้ ไม่ใช่เรื่องของเรา เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่

**เหิมหนัก เสนอยุบสำนักทรัพย์สิน-โละทิ้งองคมนตรี
“ผมในฐานะสมาชิกวุฒิสภาทำอะไรมากไม่ได้ แต่จำเป็นต้องพูดว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น และผมได้ทำตามหน้าที่ ในกรรมาธิการนั้นให้ตั้งคนนอกได้ไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 ผมก็พยายามเอาคนอกที่ไม่ใช่ ส.ว.แต่มีความเชี่ยวชาญเข้ามา เช่น คุณไพศาล พืชมงคล คุณปราโมทย์ นาครทรรพ นอกจากนี้คนที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายโดยตรง อย่าง ผบ.ตร.พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ก็มาอยู่ในกรรมาธิการนี้ รวมทั้งนักกฎหมายหลายคนที่จะมาวิเคราะห์ข้อกฎหมาย

“เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ มันเป็นการเสนอรูปแบทางการเมืองขึ้นมาใหม่ อาจไม่ใช่ระบอบการปกครองที่ไม่มีกษัตริย์ เขาอาจให้มีอยู่ แต่จะตีความอย่างแคบมากในเรื่องพระราชอำนาจ และเมื่อดูแนวความคิดของนักวิชาการสกุลนี้ พวกเขาเห็นว่าไม่ควรมีองคมนตรีด้วยซ้ำ รวมทั้งต้องไม่มีสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไม่มีเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย พระมหากษัตริย์ต้องเสียภาษี มิพักต้องพูดถึงมาตรา112 รวมถึงการรณรงค์ไม่ยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีด้วย” นายคำนูณ กล่าว

**อ้างระคายเคืองฯ ปกป้องคนทำผิด
นายไพศาล กล่าวถึงแนวรบของขบวนการนี้อีกว่า มันไม่ได้มีอยู่แต่เฉพาะในประเทศ แต่มีโลกล้อมประเทศ และมีการเคลื่อนไหวอยู่ มันจึงมีเรื่องที่ไม่ควรเกิดก็เกิดขึ้น เช่น โรฮิงยา เป็นสัญญาณอันหนึ่งว่าการเคลื่อนไหวต่างประเทศทำเป็นล่ำเป็นสัน

นอกจากนี้ จุดอ่อนอันหนึ่งคืออันตราจากการที่เข้าใจผิดว่า ถ้าทำเรื่องนี้แล้วจะเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาล ผู้ใหญ่คนหนึ่งถึงกับไปกระซิบกระซาบตำรวจว่า ให้ชะลอเรื่อง อย่าทำเรื่อง เดี๋ยวจะระคายเคืองฯ คนพวกนี้ไม่รู้จุดยืนอยู่ตรงไหนแน่ ซึ่งมีอยู่หลายคดีที่เจอย่างนี้ ซึ่งมันทำให้เกิดปัญหาในการบังคับใช้กฎหมาย แต่ผลคือการคุ้มครองผู้กระทำผิดให้กระทำผิดต่อไป เราจึงยังไม่เห็นคดีพวกนี้ขึ้นถึงศาล ยกเว้นคดีดา ตอร์ปิโด มันถูกดึงถูกถ่วงไว้หมด อย่างกรณีเชียงราย ตำรวจทำคดีเองได้ เพราะเป็นความผิดซึ่งหน้า เป็นอาญาแผ่นดิน แต่ก็ยังรอฟังคำสั่งหน่วยเหนือ นี่เป็นอันตราย มันจะนำไปสู่การสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างของบ้านเมือง เราจะสูญเสียหลักชัยของบ้านเมือง เสียศูนย์รวมจิตใจของบ้านเมืองที่ประชาชนเคารพศรัทธาแต่โบราณมา

**มายาคติห้ามพูดเรื่องระคายเคืองฯ ปล่อยแก๊งล้มสถาบันเหิมหนัก
นายคำนูณ กล่าวว่า การพิทักษ์รักษาสถาบันกษัตริย์ไม่ได้แปลว่าเราจะกลับสู่ยุคสมบูรณาญาสิทธิ ราชเหมือนที่บางพวกกล่าหา แต่เรารักษาสิ่งที่มีอยู่เอาไว้ และไม่ให้มีการล่วงละเมิด และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายทำงานอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเราเห็นว่าบางครั้งก็ล้าช้า บางครั้งจงใจทำเร็วให้สอดคล้องกับการเป็นข่าว ซึ่งน่าสงสัยในพฤติกรรมแบบนี้ และจะต้องหาข้อมูล

นายคำนูณ กล่าวอีกว่า ยังมีความคิดที่เป็นอคติ คือ บางคนไม่อยากให้ชื่อคณะกรรมาธิการพิเศษมีคำว่าสถาบันกษัตริย์ ซึ่งก็ได้ชี้แจงว่าไม่มีเจตนาจะไปให้ร้ายใคร แต่ต้องยอมรับความจริงว่าว่าเหตุการณ์ขณะนี้มันหนักหนาสาหัส แต่เวลาจะทำ มันก็ติดขัดกับคำว่า อย่าพูดดีกว่า มันจะไม่ดี เป็นเรื่องของเบื้องสูง เราอย่าพูด ซึ่งเมื่อพวกเราที่ต้องการพิทักษ์สถาบันแล้วไม่พูด โดยอ้างว่าพูดแล้วเสี่ยง ไต่เส้นกฎหมาย แต่อีกฝ่ายหนึ่งเขาไม่หยุดพูด ทั้งที่ทำผิดอย่างชัดแจ้ง หรือไต่เส้นอย่างฉวัดเฉวียน ลองดูงานวิชาการของอาจารย์บางคน ที่ตกเป็นข่าวช่วงนี้ตั้งแต่เล่มแรกถึงเล่มสุดท้าย ก็เห็นว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงลำบาก

“ในฐานะคนทำงานการเมืองในระบบ กับพรรคพวกจำนวนหนึ่ง สิ่งที่เราทำได้คือสิ่งเหล่านี้ และขณะเดียวกันก็ขอเรียกร้องให้คนนอกระบบการเมืองต้องตระหนักถึงอันตรายของ สิ่งเหล่านี้ด้วย”

**เตือน “แม้ว”ถูก “เพ็ญ” หลอกใช้
กรณีหากต่างประเทศวิจารณ์ว่าแนวทางของเราไม่ใช่เสรีประชาธิปไตยตาม หลักสากล นายไพศาลกล่าวว่า แต่ละประเทศมีปูมหลังทางประวัติศาสตร์ไม่เหมือนกัน เรามีความเป็นชาติ มีประวัติศาสตร์ของไทยแท้ๆ ยาวนาน 800 ปี จะไปเลียนแบบประเทศเกิดใหม่ได้อย่างไร อย่างสหรัฐฯ ในวันนี้ ที่เคยบอกว่าเป็นประเทศเสรีทุนนิยมที่สุด วันนี้ ก็ถูกเยาะเย้ยว่ากำลังจะเป็นสังคมนิยม เพราะปัญหาวิกฤต ทำให้รัฐเข้ามาเป็นเจ้าของกิจการต่างๆ ส่วนใหญ่ของประเทศเกือบหมดแล้ว เพราะฉะนั้นที่เขาเชิดชูว่าเสรีมันไม่เสรีจริง

ส่วนยุโรปบางประเทศที่มีกษัตริย์ก็ไม่เหมือนกษัตริย์ของเรา เพราะกษัตริย์ของเขาห่างเหิน ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประชาชน แต่พระมหากษัตริย์ของเราเป็นเหมือนพ่อกับลูก พสกนิกรเป็นบุตรของแผ่นดิน กษัตริย์แปลว่าหัวหน้านักรบ เวลาทำศึกเหนือเสือใต้ต้องออกหน้าแทนประชาชน และเป็นกษัตริย์เพียงประเทศเดียวที่ทรงทศพิธราชธรรม นี่คือความต่อเนื่องที่เรามีมา 700 ปีแล้ว เราจะไปเอาของใหม่ที่มันไม่เหมือนกันมาใช้ก็วิปริตเต็มทีแล้ว

“สถานการณ์ตอนนี้ดูแคลนไม่ได้ มันคือกระบวนการที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และอยากเตือนถึงคุณทักษิณว่า ถ้าฟังจักรภพแล้วคิดให้มากๆ แต่ก่อนเขาบอกว่าสู้เพื่อทักษิณ แต่ตอนนี้เขาบอกว่าทักษิณเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการต่อสู้เท่านั้น หมายความว่า เป็นแค่เครื่องมือ ดังนั้น ต้องคิดให้มากๆ ว่าใครเป็นเครื่องมือใคร” นายไพศาลกล่าว

**เลิก ม.112 คือเปลี่ยนแปลงการปกครอง
นายคำนูณ กล่าวเพิ่มเติมกรณีการเคลื่อนไหวเพื่อให้ยกเลิกมาตรา 112 ว่า ถ้ายกเลิกมาตรานี้ ก็เท่ากับว่ายกเลิกมาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบบใหม่ เพราะตั้งแต่ปี 2475 มาตรานี้มีอยู่ในรัฐธรรมนูญมาตลอด

สำหรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ คปพร.ของ นพ.เหวง โตจิราการ ที่เสนอเข้าสู่สภาไว้แล้วนั้น นายคำนูณกล่าวว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีบทเฉพาะกาลรับรองการคงอยู่ของคณะองคมนตรีชุดปัจจุบัน ซึ่งตามปกติรัฐธรรมนูญทุกฉบับ จะมีเฉพาะกาลระบุเอาไว้

นายไพศาล กล่าวถึงประเด็นนี้ ว่า ทำไมรัฐบาลไม่รีบคว่ำร่างรัฐธรรมนูญที่คาอยู่นี้ รัฐบาลต้องทำความเข้าใจ สร้างความรู้ให้เกิดในหมู่ประชาชน ให้เห็นความสำคัญ ความเป็นจริง คุณูปการของสถาบันที่ปกป้องคุ้มครองประเทศให้มาอยู่ถึงตอนนี้ โครงการพราชดำริ พระราชกรณียกิจ มีมากมาย ต้องเอามาเผยแพร่ เพราะแค่การจุดเทียนเฉลิอมพระเกียรติเท่านั้นยังไม่เพียงพอ นอกจากนี้จะต้องเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมายตามที่บัญญัติไว้ ใครขัดขวางก็ต้องปรับปรุงโยกย้าย เชื่อว่ากฎหมายขณะนี้มีมากพอ เพียงแต่ว่าทำให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายก็พอ หากมีการเหนี่ยวรั้งก็ต้องปรับปรุง ไม่น่ามาปัญหา

นายไพศาล เชื่อว่า คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ยังเคารพสถาบัน ยกเว้นแกนนำไม่กี่คนเท่านั้น ความจริงประชาชนทุกคนไม่ว่าสีไหน ล้วนมีหน้าที่ เชื่อว่า 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ จงรักภักดี เคารพสถาบัน แต่ว่าการสร้างภาพ การสร้างข่าวจากสื่อที่เห็นบ่อยๆ ทำให้พวกเขาเริ่มไขว้เขว และเออออว่าจะจริง เพราะฉะนั้นรัฐบาลจะต้องใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ อย่าเหมือนรับบาลสุรยุทธ์ ซึ่งถ้าให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล จัดรายการที่ช่อง 11 มากว่า 11 วัน ประเทศไทยจะไม่เหมือนย่างนี้ เราปล่อยให้มีการใส่ยาพิษในหัวของประชาชนมาปีเศษ ไม่มีใครทำอะไรเลย โจทย์ขณะนี้คือ เราจะถอนยาพิษออกจากหัวประชาชนอย่างไร

**วอนสื่อ-ปชช.หนุน จนท.ทำตามกฎหมาย
นายคำนูณ กล่าวเสริมว่า สื่อต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง โดยเฉพาะสื่อปัจจุบันที่ชอบเสนอแต่ข่าวคนทะเลาะกัน กลายเป็นเครื่องมือให้คนที่ต้องการเป็นข่าวที่รู้วิธีว่าจะทำตัวอย่างไร นอกจากนี้ประชาชนต้องเป็นหูเป็นตา ช่วยกันสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้จริงจังทุกฝ่าย ถ้าเกิดการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประชาชนก็น่าจะใช้สิทธิในการผลักดัน ด้วยวิธีการทางใดทางหนึ่ง

นายไพศาล กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอสดุดีนายตำรวจที่แจ้งความดำเนินคดีกับนายจักรภพ เพ็ญแข และขอสดุดีทหารที่ไปแจ้งความเอาผิดคนแจกใบปลิวที่เชียงราย จึงขอฝากเจ้าหน้าที่คนอื่นด้วย เป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องดำเนินการทันทีไม่ต้องรอให้ใครมาแจ้ง ถ้าท่านไม่ทำ ความรับผิดชอบของท่านอยู่ขั้นไหน

“ถ้าผมมีอำนาจทางการเมืองผมจะจัดการเรื่องนี้” นายไพศาล กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น