หมายเหตุ: LM Article


LM watch พยายามคงการเน้นคำในเนื้อหาให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เนื่องจากเงื่อนไขทางเทคนิคบางประการ ทำให้การแสดงผลบนเวบไซต์นี้ยังไม่สามารถใช้การเน้นแบบ "ขีดเส้นใต้" ได้ จึงจำเป็นต้องใช้การเน้นด้วย "ตัวหนา" แทนในบางกรณี ซึ่งต้องขออภัยต่อเจ้าของบทความ/รายงาน ตลอดจนผู้อ่านเป็นอย่างสูง

LM watch



วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ประเทศไทย: ถึงเวลาแล้วที่จะต้องพูดถึงเรื่องกฏหมายหมิ่นฯกันอย่างเปิดเผย

ที่มา: ไทยอีนิวส์

แปลโดย: ทีมข่าวไทยอีนิวส์, พิสูจน์อักษร: LM watch


แถลงการณ์จากคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเซีย
12 กุมภาพันธ์ 2552

ประเทศไทย: ถึงเวลาแล้วที่จะต้องพูดถึงเรื่องกฏหมายหมิ่นฯกันอย่างเปิดเผย


คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเซีย (AHRC - The Asian Human Rights Commission) ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดและด้วยความห่วงใยอย่างมากที่มีจำนวนการฟ้องร้องคดี หมิ่นฯเพิ่มมากขึ้นในประเทศไทยกับผู้คนทุกประเภทจากการแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับราชวงศ์ ปัจจุบันนี้ได้มีผู้คนหลายสิบที่ถูกกล่าวหาหรือถูกพิพากษาแล้วในข้อหานี้ ซึ่งเทียบเท่ากับข้อหากบฏต่อราชบัลลังค์ ผู้คนเหล่านี้รวมถึงพลเมืองไทย ชาวต่างชาติ ผู้สื่อข่าว และนักวิชาการ อย่างน้อยที่สุดก็มีสองคนที่กำลังถูกจำคุกและอีกคนหนึ่งได้หลบหนีออกนอก ประเทศเพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม ถึงแม้ว่าจำนวนคดีจะน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนคนที่ผ่านการพิจารณาในกระบวนการ ยุติธรรมในเมืองไทย แต่มันก็ถือว่าเป็นจำนวนมากสำหรับข้อหานี้โดยเฉพาะการใช้ข้อหาหมิ่นฯเพื่อทำ ให้ผู้ที่อาจกระทำผิดซ้ำเกิดความหวาดกลัว และทำให้เกิดการปิดกั้นการถกเถียงกันเรื่องสถาบันที่สำคัญของรัฐในช่วงที่มี รัฐบาลที่สนับสนุนโดยทหารและไม่ได้มาจากการเลือกตั้งที่กำลังทำทุกสิ่ง ทุกอย่างที่บ่อนทำลายหลักนิติธรรมของไทยซึ่งถูกทำลายมาก่อนหน้านี้แล้ว

แน่นอนคนอื่นๆอาจจะถูกฟ้องโดยข้อหานี้ได้ทุกเมื่อ เพราะแม้แต่คนที่แสดงความคิดเห็นเล็กๆที่ไม่สำคัญเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ยังถูกดำเนินคดีในศาล และเป็นเพราะลักษณะพิเศษของกฎหมายหมิ่นฯในประเทศไทยที่อนุญาตให้บุคคลใดก็ได้ฟ้องร้องอีกบุคคลหนึ่ง จากข้อมูลบางข้อมูล นอกเหนือจากขั้นตอนตามกฎหมายที่มีการไต่ส่วนอย่างเป็นทางการโดยองค์กรของรัฐแล้ว บางหน่วยงานของตำรวจและหน่วยงานอื่นๆยังเข้าไปค้นเนื้อหาในสิ่งตีพิมพ์ และเวบไซต์ต่างๆที่สามารถจะกล่าวหาว่าหมิ่นฯได้ และหลังจากนั้นก็ดำเนินการฟ้องร้อง และที่ทำให้น่ากังวลกว่านั้นคือการตั้งเวบไซต์จากเซิร์ฟเวอร์ของรัฐสภาเอง เพื่อการรณรงค์ให้ประชาชนแจ้งเบาะแสของใครก็ได้ที่เขาคิดว่าวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์

จากการที่มีจำนวนคดีหมิ่นฯทเพิ่มมากขึ้น รวมถึงความพยายามอย่างเคร่งครัดของกระทรวง ICT ที่จะเซ็นเซอร์อินเตอร์เนท และการใส่ร้ายทางอาญาอย่างแพร่หลาย มันบ่งบอกถึงแนวทางที่ถดถอยอย่างยิ่งของพฤติกรรมทางการเมืองและวาทกรรมทางสังคมเกี่ยวกับประเด็นสำคัญของประเทศ ตั้งแต่รัฐประหารปี 2006 หลังจากเหตุการณ์นั้น AHRC ได้เตือนว่าความล้มเหลวที่ไม่ได้มีการต่อต้านการยึดอำนาจเพียงเพราะไม่ชอบรัฐบาลที่ไม่น่าพอใจของทักษิณ ชินวัตร จะเป็นการเชื้อเชิญฝ่ายขวาจัดเข้ามามีอำนาจทางการเมืองไทยเหมือนที่เคยมีมาถึงช่วงทศวรรษ 1990 มันน่าเศร้าที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2551 ได้แสดงให้เห็นว่าอุดมการณ์หัวรุนแรงและการองค์ประกอบของสภาพไร้กฎหมายได้ เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอย่างไร ซึ่งต้องขอบคุณกองทัพที่ได้ย้ำถึงอภิสิทธิ์ของพวกเขาในการบ่งชี้ชะตาของประเทศไทย และในการปฏิบัติอันน่าใจหายต่อผู้อพยพทางเรือหลายลำที่ถูกคุมตัวโดยกองทัพเรือที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก และการปฏิเสธอย่างน่าอนาถใจของทางการ ที่ก่อให้เกิดความความงุนงงสับสน เป็นการแสดงให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่าอิทธิพลที่ล้าหลังได้ปกคลุมรัฐบาลนี้ในทุกระดับ

จาการที่มีคดีหมิ่นฯเพิ่มมากขึ้นตอนนี้เป็นการบ่งชี้ถึงการหันหลังให้กับการพัฒนาประชาธิปไตยและสังคมที่เกิดขึ้นในยุคทศวรรษ 1990 และกลับมาสู่ระบอบเผด็จการที่ล้าหลังอย่างช่วงทศวรรษก่อนหน้านั้น และเป็นการเข้าถึงประเด็นว่าพวกที่วางแผนและนักยุทธศาสตร์ซึ่งรับผิดชอบกับ การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีนั้นต้องการให้รัฐนั้นเป็นอย่างไร

มันแน่ชัดว่าการฟ้องร้องและการตัดสินบุคคลต่างๆว่าผิดในข้อหาหมิ่นฯนั้น มันไม่ได้เป็นเรื่องของวัฒนธรรมอย่างที่พวกเขาอ้าง แต่เป็นการควบคุมสังคมอย่างหนึ่ง มันไม่ได้เป็นเรื่องของการส่งเสริมให้มีความเคารพ แต่เป็นเรื่องของการกำจัดศัตรู

หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ระหว่างประเทศไทยเดิมกับประเทศไทยใหม่ คือด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่บุคคลที่โดนข้อหาหมิ่นฯนั้นเพราะการใช้คอมพิวเตอร์ของพวกเขา และเป็นเพราะสื่อในประเทศก็โดนจำกัดให้เป็นสื่อเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อและเป็นกระบอกเสียงของกลุ่มที่ว่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ประชาชนหันไปหาแหล่งข้อมูลของข่าวและความคิดเห็นทาง อินเตอร์เน็ทและหาช่องทางที่เร็วและทันสมัยเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าทางการจะพยายามมากแค่ไหนพวกเขาจะพบว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดการแลก เปลี่ยนข้อมูลนี้ นอกเหนือเสียจากจะปิดการสื่อสารทางเทคโนโลยีนี้โดยสิ้นเชิง และยิ่งทำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งกระตุ้นให้มีคนเข้ามาใช้มันมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปแน่นอนมันจะลำบากมากขึ้นและเสี่ยงสำหรับคนไทยที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย อย่างเท่าเทียม และอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ รวมถึงบทบาทและกิจกรรมของราชวงศ์ และที่สำคัญกว่าเกี่ยวกับบุคคลที่อ้างว่าเป็นตัวแทนหรือกระทำในนามของราชวงศ์ ในช่วงเวลาที่ความเสี่ยงนี้ไม่ได้มาจากแค่พวกข้าราชการ แต่จากกลุ่มคนที่แต่งตั้งตัวเองขึ้นอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งพวกเขาได้ครอบงำพื้นที่ของสังคมและการเมืองเมื่อปีที่ผ่านมา และได้ก่ออาชญากรรมอย่างนับไม่ถ้วนโดยไม่กลัวว่าจะถูกลงโทษ คนที่มุทะลุเท่านั้นที่จะคิดว่าเมืองไทยเป็นประเทศที่ยอมรับ (แม้แต่การสนับสนุนก็ไม่มี) การแสดงออกและการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี

ในสถานการณ์ดังกล่าว มันตกเป็นหน้าที่ของบุคคลหรือองค์กรที่อยู่นอกประเทศที่จะแสดงออกอย่างตรงไป ตรงมาและชัดเจน เพื่อประโยชน์ของคนข้างในที่ไม่สามารถทำได้ และด้วยเหตุนี้ทาง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเซีย ขอประณามอย่างชัดเจนด้วยเหตุผลของหลักปฏิบัติที่ถูกต้องซึ่งไม่พิจารณา ปัจจัยอื่นการใช้กฎหมายหมิ่นฯในรูปแบบปัจจุบันของประเทศไทยซึ่งขัดกับหลัก มาตรฐานของสิทธิมนุษยชนสากล เราเรียกร้องให้รัฐบาลของไทย ผ่านทางสำนักอัยการของรัฐ ยุติการดำเนินคดีทั้งหมดต่อบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นฯโดยทันที และเร่งการจัดการให้ผู้ที่ถูกตัดสินจำคุกถูกปล่อยออกมาโดยเร็วที่สุด และเราเรียกร้องให้ยุติการเซ็นเซอร์ที่ไร้ประโยชน์เวบไซต์ที่ทางการเห็นว่า หมิ่นต่อสถาบันราชวงศ์ ทางรัฐบาลไทยต้องเข้าใจว่าถ้าไม่ทำเช่นนั้นจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของ การเมืองที่ถูกทำลายไป และของชื่อเสียงระหว่างประเทศของไทยจากความวุ่นวายในปี 2008 และในระยะยาวจะทำให้การแก้ปัญหาทางระบบของโครงสร้างสถาบันและสังคมยากที่จะเยียวยา

ทาง AHRC ขอถือโอกาสนี้เพื่อเรียกร้องพิเศษต่อบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องนอกประเทศ ไทย อนึ่งขอแสดงความยินดีต่อองค์กรที่ได้ยกประเด็นเรื่องกฎหมายหมิ่นแล้ว และทางเราขอสนับสนุนการดำเนินการอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะผ่านทางสื่อทั่วไป หรือการรณรงค์ทางอื่น สอง ทางเราเรียกร้องให้กลุ่มที่ยังไม่ได้ดำเนินการได้เริ่มออกแถลงการณ์ เริ่มการรณรงค์ และตีพิมพ์และออกมาพูดอย่างกว้างขวางโดยให้ถือเป็นวาระเร่งด่วน ในสถานการณ์ปัจจุบัน การถกเถียงกันเรื่องกฎหมายหมิ่นฯและเรื่องที่เกี่ยวข้องด้วยสติปัญญาโดยปราศจากการกีดกันนั้นแทบจะทำไม่ได้ และขณะนี้ภาระมันตกอยู่กับกลุ่มคนที่ทำงานหรืออาศัยอยู่นอกประเทศที่จะช่วยเปิดเผยเรื่องที่โดนปิดปาก จนกระทั่งถึงเวลาที่ประชาชนสามารถจะทำเช่นเดียวกันโดยไม่ต้องกลัวการจับกุมและจำคุกหรือแย่กว่านั้น ขอส่งคำร้องขอนี้ออกไปให้โดยเฉพาะกับองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆที่ยังไม่ได้แสดงท่าทีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าเราไม่สามารถจะพูดด้วยความชัดเจนและความแน่ชัดว่ากฎหมายฉบับใดหนึ่งฉบับ หนึ่งนั้นผิดและพวกที่ถูกดำเนินคดีจากกฎหมายดังกล่าวไม่ได้รับความเป็นธรรม ในไม่ช้าเราคงไม่สามารถจะหรือไม่ยอมที่จะพูดด้วยความชัดเจนและแน่ชัดเกี่ยว กับประเด็นอื่นๆเลย

เกี่ยวกับ AHRC: คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเซียเป็น NGO ของภูมิภาคที่กำกับดูแลและรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนในเอเซีย ก่อตั้งขึ้นในปี 1984 และมีสำนักงานอยู่ที่ฮ่องกง

อ่านฉบับภาษาอังกฤษคลิ้กที่นี่
English version, Click here

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น