หมายเหตุ: LM Article


LM watch พยายามคงการเน้นคำในเนื้อหาให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เนื่องจากเงื่อนไขทางเทคนิคบางประการ ทำให้การแสดงผลบนเวบไซต์นี้ยังไม่สามารถใช้การเน้นแบบ "ขีดเส้นใต้" ได้ จึงจำเป็นต้องใช้การเน้นด้วย "ตัวหนา" แทนในบางกรณี ซึ่งต้องขออภัยต่อเจ้าของบทความ/รายงาน ตลอดจนผู้อ่านเป็นอย่างสูง

LM watch



วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สถาบันพระมหากษัตริย์ยุคปัจจุบันและการละเมิดไม่ได้

ที่มา: http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic.php?id=777559 (15 ก.พ. /ถถ/)

'bbb' แปลจาก "Modern monarchy and inviolability" ใน Bangkok Post Opinion

(LM watch พิสูจน์อักษร)


สถาบันพระมหากษัตริย์ยุคปัจจุบันและการละเมิดไม่ได้

โดย Grant Evans

มันเป็นธรรมดาที่ปัญญาชนและนักการเมืองไทยจะอ้างว่าชาวต่างชาติไม่เข้าใจถึงทัศนคติของคนไทยที่มีต่อพระมหากษัตริย์ และมันก็จริงที่ฝรั่งหลายคนไม่เข้าใจถึงความรู้สึกเกรงขามและความเคารพของคนไทยส่วนใหญ่ แต่มันก็จริงเช่นกันที่ชาวต่างชาติเคยมีความรู้สึกเช่นเดียวกันต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นชาวอังกฤษ ออสเตรเลีย สวีเดน ญี่ปุ่น หรืออื่นๆ

สำหรับผมตอนเด็กๆที่อยู่ออสเตรเลียในช่วงทศวรรษ 1950 สถาบันกษัตริย์ดูเหมือนเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ เวลาผมไปโรงเรียนพวกเราร้องเพลง God Save the Queen เพื่อเริ่มต้นอาทิตย์ใหม่ และร้องเพลงนี้เมื่อมีงานสำคัญ และจริงๆแล้วผมยังจำมันได้แม่นกว่าเพลงชาติเสียอีก

ผมโบกธงออสเตรเลียให้พระราชินีอลิซเบธในปี 1954 ตอนเธอมาเยือนเมืองชนบท Mildura ทีผมโตขึ้นมา พวกเรายืนทำความเคารพในโรงหนัง และมีรูปพระราชินีอลิซาเบธแขวนอยู่ในห้องเรียนส่วนใหญ่ ในสถานที่สำคัญ และในบ้านหลายบ้าน หนังสือพิมพ์และวิทยุรายงานความเคลื่อนไหวของราชวงศ์ (สมัยนั้นไม่มีโทรทัศน์ในชนบทจนกระทั่งปี 1967) และโดยเฉพาะในแมกกาซีนผู้หญิงมีรายงานข่าวของราชวงศ์และข่าวซุบซิบ ฉบับระลึกถึงการเดินทางต่างประเทศของพระราชินี เจ้าชาย หรือเจ้าหญิงขายหมดอย่างเร็ว นี่เป็นเรื่องปกติในแคนาดา นิวซีแลนด์ และประเทศในเครือจักรภพของอังกฤษ นี่ยังไม่รวมถึงสหราชอาณาจักรเอง

ทุกวันนี้วิญญาณของการมีสถาบันกษัตริย์ได้หายไปจากสังคมออสเตรเลีย คนในรุ่นผมเป็นหนึ่งในกลุ่มสุดท้ายที่ยังจำ "ความเป็นธรรมชาติของการมีสถาบันฯ" ดังนั้นมันเป็นการเตือนสติที่จะสะท้อนถึงว่า "ความเป็นธรรมชาติ" หรือ "ความขลัง" ของสถาบันฯนั้นค่อยๆหายไปอย่างไร สาเหตุหนึ่งคือการลดลงอย่างรวดเร็วขององค์กรจัดตั้งของคริสต์ศาสนิกชนใน อังกฤษและออสเตรเลียตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่มันมีเหตุผลอื่นเช่นกัน

มันมีความหมายเหมือนกันที่จะตั้งข้อสังเกตว่าในขณะที่ทัศนคติได้เปลี่ยนไปอย่างเร็ว แต่สถาบันกษัตริย์ของอังกฤษดูเหมือนจะมีความมั่นคงมากและพระราชินีอลิซาเบธ ก็อยู่ในจุดสูงสุดของเธอ

การปกครองระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นประวัติศาสตร์ของการประนีประนอมของอุดมการณ์ทางการเมือง ต่างๆ เป็นแบบกึ่งๆที่ผู้นิยมสาธารณรัฐรับไม่ได้ เป็นระบอบที่ทำงานได้ดีโดยเฉพาะถ้าเทียบกับระบบที่อุดมการณ์โดดๆถูกดำเนินการอย่างเคร่งครัดเหมือนในระบอบคอมมิวนิสต์ที่เข้มงวดหรือระบอบฟาสซิสต์ แต่สถาบันกษัตริย์ในปัจจุบันนั้นเป็นสถาบันที่ถูกกำจัดได้ทางการเมือง ไม่เหมือนอุดมการณ์เกี่ยวกับชาตินิยมหรือสถาบันเช่นกองทัพในยุคใหม่ ซึ่งบ่งบอกถึงความสำคัญของการระมัดระวังทางการเมืองโดยสถาบันกษัตริย์ สถาบันกษัตริย์ไม่สามารถจะแข่งขันกับอุดมการณ์เกี่ยวกับชาติและประชาธิปไตย ที่เหนือกว่า แต่จำเป็นต้องถูกมองว่าเป็นสถาบันฯที่อยู่ร่วมกับอุดมการณ์เหล่านั้นได้อย่างกลมกลืน

สถาบันกษัตริย์สมัยใหม่จึงมีบทบาทเป็นผู้ปกป้อง "ประเพณีของชาติ" และสถาบันกษัตริย์นี้บางทีอาจจะทำตัวเป็นพ่อและมีคุณธรรม และบางครั้งอาจจะให้ความฝันของการมีสังคมแบบเรียบง่าย อย่างเช่นการให้แนวคิดแบบเศรษฐกิจพอเพียงก็ไม่น่าแปลกใจ และเสมือนเป็นการต้านความเจริญอย่างรวดเร็วอย่างหนึ่ง จึงได้รับการยอมรับจากคนหลายคน

สถาบันกษัตริย์ดึงดูดใจนักมานุษยวิทยาตั้งแต่ต้นกำเนิดเพราะการปกครองประเภทนี้ได้อยู่ควบคู่กับวัฒนธรรมและสังคมต่างๆมาโดยตลอด และจากที่พวกเขาได้สังเกต คือเนื้อแท้ของราชวงศ์และขุนนางถูกแบ่งแยกออกมาโดยพิธีกรรม การแต่งกาย การพูด และอื่นๆ กิจกรรมเหล่านี้แยกแยะความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ ราชวงศ์เป็น "ศูนย์กลางของตัวอย่างที่ดี" ตามคำอธิบายของ Clifford Geertz และสถาบันกษัตริย์ยังเป็นรูปแบบสังคมที่สามารถเอาชนะความขัดแย้งทางการเมือง และประกันความมีเสถียรภาพและความสามัคคี ความยากลำบากของสถาบันฯยุคใหม่คือการวัดว่าควรจะอยู่ห่างจากประชาชนมาก เท่าใดโดยเฉพาะในสังคมที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ถ้าพวกเขาไม่สนใจก็จะทำให้พวกเขาถูกเป็นเป้าของการเยาะเย้ยหรือแย่กว่านั้น

และ จากประเพณีปฏิบัติที่แบ่งแยกราชวงศ์ออกมาทำให้เกิดกฎหมาย lese majeste ขึ้น มันถูกออกแบบออกมาเพื่อปกป้องเกียรติยศและความบริสุทธิ์ของราชวงศ์ แต่ในเมืองไทยนั้น ตั้งแต่กฎหมายนี้ถูกลากมาเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปลายทศวรรษ 1950 กฎหมายดังกล่าวถูกใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายโดยนักการเมืองทุกระดับ กฎหมายนี้ไม่ได้อยู่ในมือของกษัตริย์อย่างที่ควรจะเป็น ผลที่ตามมาคือการใช้กฎหมายหมิ่นฯโดยไม่มีหลักการนี้ทำให้เกิดผลตรงข้ามกับจุดมุ่งหมายที่ออกแบบมาตั้งแต่ต้น แทนที่จะทำให้สถาบันกษัตริย์บริสุทธิ์กลับกลายเป็นทำให้หม่นหมองด้วยการเมืองรายวัน ในแต่ละคดีของข้อหาหมิ่น ประชาชนถูกถามให้เลือกระหว่างสถาบันกษัตริย์และประชาธิปไตย และในที่สุดมันจะมีผลร้ายต่อสถานภาพของสถาบันแรก

ตามที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้น สถาบันกษัตริย์ไม่ควรถูกมองว่าต่อต้านประชาธิปไตย นอกจากจะยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯเท่านั้นที่จะหลีกเลี่ยงการเลือกที่ไม่น่า ปรารถนาระหว่างสองอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจากแง่มุมของนักมานุษยวิทยา การที่บางกลุ่มในพรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอให้กฎหมายนี้มีความเข้มงวดมากขึ้น จะทำให้ปัญหาดูใหญ่กว่าที่เป็น ดูเหมือนพวกเขาจะต้องการดำเนินเรื่องไม่ดีนี้ด้วยสองสาเหตุ

หนึ่ง คือการฉวยโอกาสทางการเมืองเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีตที่ทำให้กฎหมายนี้เปรอะเปื้อน นั่นก็คือการอ้างว่ามีการสมรู้ร่วมคิดในการกำจัดสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งพวกเขาอ้างว่ากระทำโดยศัตรูของเขาอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร มันไม่มีหลักฐานยืนยันเรื่องดังกล่าว และสำหรับผมคนหนึ่งเชื่อว่า ทักษิณจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ตามการถอดถอนรัฐบาลทักษิณที่เป็นที่นิยมของประชาชนรวมทั้งกองร้อยของเขาในนามของสถาบันพระมหากษัตริย์ก่อให้เกิดการต่อต้านสถาบันฯขึ้น

ในระบอบกษัตริย์ย่อมมีผู้ต่อต้านสถาบันฯ ไม่มีสังคมใดที่คนจะเชื่อมั่น 100% ต่อผู้นำของเขา - แม้กระทั่งในเกาหลีเหนือ! และในความคิดปกติเมื่อคนยุคใหม่ถูกถามให้เลือกระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาธิปไตยเขาจะเลือกข้อหลัง เพราะฉะนั้นเราควรสรุปว่าพวกที่ใช้อำนาจนอกประชาธิปไตยในนามของกษัตริย์เป็นผู้ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านกษัตริย์เอง

เหตุผลที่สอง ดูเหมือนจะเป็นเพราะพวกอนุรักษ์นิยมบางส่วนในสังคมไทยถูกหลอกด้วยโฆษณาชวนเชื่อสำหรับนักท่องเที่ยวเรื่อง "สังคมพุทธแบบดั้งเดิม" แต่สังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงอย่างมากในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาและมันคงจะน่าหัวเราะถ้าคิดว่าทัศนคติของคนไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลง ไปด้วย เราแค่เปรียบเทียบกับศาสนาพุทธที่มีความนิยมมากในประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว หรือ พม่าเพื่อดูว่าศาสนาพุทธได้ถดถอยอย่างไร และพระสงฆ์ไทยก็มีเรื่องอื้อฉาวไม่แพ้ศาสนาคาธอลิก

นักอนุรักษ์นิยมชอบคิดว่าการหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมทำได้ ด้วยการบังคับกฎหมายที่เคร่งครัดแทนที่จะพยายามเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและปรับ ตัวอย่างสร้างสรรค์ให้เข้ากับมัน

ตัวอย่างที่เพิ่งเห็นไม่นานนี้คือ แนวทางแบบอนุรักษ์นิยมของอดีตกษัตริย์ Gayanendra ของเนปาล ผู้ที่โต้ตอบการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงด้วยวิธีกลับไปสู่ระบอบเผด็จการแบบบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าเขาพยายามยื่นประชาธิปไตยให้กับประชาชน สถาบันกษัตริย์ของเนปาลคงยังอยู่ถึงทุกวันนี้

คนไทยบางคนบางครั้งเปรียบเทียบสถาบันกษัตริย์ของอังกฤษกับสถาบันฯไทยในเชิงลบ แต่นักข่าวชาวอังกฤษที่มีความคิดนอกกรอบคนหนึ่งชื่อ Jeremy Paxman ได้สรุปในหนังสือของเขา On Royalty (2006) (เรื่องราชวงศ์) ว่าราชวงศ์วินด์เซอร์จะอยู่ต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ แต่การทำนาย ประเทศไทยที่เต็มไปด้วยวิกฤตนั้นค่อนข้างจะเป็นศิลปะที่อันตราย และซับซ้อนด้วยความจริงที่ว่าพวกที่เป็นกษัตริย์นิยมที่ทำตัวเหมือนเป็นศาลเตี้ยต่อสังคม ดูเหมือนจะเป็นกลุ่มที่เป็นภัยคุกคามหลักต่อความอยู่รอดของสถาบันกษัตริย์ไทย

นักมานุษยวิทยา Grant Evans คือ The Last Century of Lao Royalty: A Documentary History (Silkworm Books, 2009) ศตวรรษสุดท้ายของราชวงศ์ลาว: สารคดีประวัติศาสตร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น